ออกแบบบ้านอย่างไร ประหยัดไฟมากที่สุด?
- Chanyanuch Chuenchom
- 2 ม.ค.
- ยาว 2 นาที

การออกแบบบ้านให้ประหยัดค่าไฟมากที่สุด โดยอิงตามหลักสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม สามารถทำได้ผ่านการวางแผนที่ครอบคลุมทั้งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยครอบคลุมทุกองค์ประกอบ ทั้งโครงสร้าง วัสดุ การวางตำแหน่ง และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีแนวทางดังนี้:
1. โครงสร้างบ้าน
ความสูงของเพดาน:
ควรมีความสูงจากพื้นถึงเพดานอย่างน้อย 2.8-3 เมตร เพื่อให้เกิดการระบายอากาศที่ดีและช่วยลดความร้อนสะสมภายในบ้าน
โครงสร้างหลังคา:
เลือกหลังคาทรงสูง เช่น หลังคาทรงจั่ว หรือทรงปั้นหยา เพื่อให้ความร้อนใต้หลังคาถ่ายเทออกได้ง่าย และมีพื้นที่สำหรับติดตั้งฉนวนกันความร้อน
เพิ่มช่องระบายอากาศใต้หลังคา หรือใช้ระบบ Roof Ventilator เพื่อดึงอากาศร้อนออก
2. วัสดุก่อสร้าง
ผนัง:
ใช้ผนังสองชั้น (Double Wall) หรือผนังที่มีฉนวนกันความร้อนภายใน เช่น ผนังอิฐมวลเบา หรืออิฐซีเมนต์มวลเบา ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดการนำความร้อน
ทาสีผนังด้านนอกด้วยสีอ่อน เช่น สีขาว ครีม หรือเทาอ่อน เพื่อสะท้อนแสงแดด
หลังคา:
ใช้แผ่นสะท้อนความร้อนใต้หลังคา และฉนวนกันความร้อน เช่น ฉนวนใยแก้ว หรือโฟม PU เพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอก
กระจก:
ใช้กระจกสองชั้น (Double-Glazed Glass) หรือกระจก Low-E ซึ่งช่วยลดความร้อนจากแสงแดด และป้องกันการสูญเสียความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
พื้นบ้าน:
ใช้วัสดุพื้นเย็น เช่น กระเบื้องเซรามิก หรือหินธรรมชาติในพื้นที่ที่ได้รับแสงแดด
3. การวางตำแหน่งบ้านและทิศทาง
ทิศทางของบ้าน:
บ้านควรหันหน้าไปทางทิศเหนือหรือใต้ เพื่อหลีกเลี่ยงการรับแสงแดดโดยตรงจากทิศตะวันตกและตะวันออก
ตำแหน่งหน้าต่าง:
วางหน้าต่างตรงข้ามกันเพื่อให้ลมไหลผ่านบ้าน (Cross Ventilation)
ใช้หน้าต่างบานเลื่อนหรือบานเกล็ดที่เปิดได้กว้าง และติดตั้งมุ้งลวดเพื่อป้องกันแมลง
ติดตั้งกันสาดหรือชายคายื่นเพื่อบังแดด แต่ไม่ขวางการไหลของลม
แสงธรรมชาติ:
ใช้ Skylight หรือช่องแสงบนหลังคาในพื้นที่ที่ต้องการแสงสว่าง เช่น ห้องครัวหรือห้องน้ำ
4. เครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้า
เครื่องปรับอากาศ:
เลือกใช้เครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 และระบบ Inverter เพื่อประหยัดพลังงาน
ตั้งอุณหภูมิที่ 25-26 องศาเซลเซียส
หลอดไฟ:
ใช้หลอดไฟ LED ที่ประหยัดพลังงานและมีอายุการใช้งานยาวนาน
เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ:
เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัดพลังงาน เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และพัดลม
5. การจัดสวนและการปลูกต้นไม้
ต้นไม้ใหญ่:
ปลูกต้นไม้ที่ให้ร่มเงา เช่น ต้นจามจุรี ต้นประดู่ หรือพืชที่โตเร็วและให้ร่มเงา เช่น ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์
ปลูกไม้พุ่มเตี้ยรอบบ้านเพื่อช่วยลดอุณหภูมิจากพื้นดิน
สวนแนวตั้ง:
หากพื้นที่จำกัด สามารถสร้างสวนแนวตั้ง (Vertical Garden) เพื่อช่วยลดความร้อนจากผนังบ้านได้
บ่อน้ำหรือสระน้ำ:
วางบ่อน้ำไว้บริเวณที่ลมพัดเข้าบ้าน เพื่อช่วยให้ลมเย็นพัดเข้าสู่บ้าน
6. ระบบพลังงานและเทคโนโลยี
แผงโซลาร์เซลล์:
ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เอง
ระบบสมาร์ทโฮม:
ใช้ระบบควบคุมไฟฟ้าอัจฉริยะ เช่น การตั้งเวลาเปิด-ปิดไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ
ถังเก็บน้ำฝน:
ติดตั้งถังเก็บน้ำฝนเพื่อนำมาใช้รดน้ำต้นไม้หรืองานทั่วไป ลดการใช้น้ำประปา
7. การตกแต่งภายใน
สีผนังภายใน:
เลือกใช้สีโทนอ่อน เช่น สีขาวหรือสีครีม เพื่อช่วยสะท้อนแสงและทำให้ห้องดูสว่างขึ้น
เฟอร์นิเจอร์:
ใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีโครงสร้างเบาและไม่ดูดความร้อน เช่น ไม้หรือวัสดุธรรมชาติ
ผ้าม่าน:
ติดตั้งผ้าม่านหนาที่ช่วยกรองแสงแดดในช่วงกลางวัน
บ้านที่ออกแบบตามแนวทางนี้ไม่เพียงช่วยลดค่าไฟ แต่ยังเพิ่มความสะดวกสบายและส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนในระยะยาว 🌿

สิ่งที่ ไม่ควรทำมากที่สุด ในการออกแบบและสร้างบ้าน เพราะจะทำให้บ้านร้อนและเพิ่มค่าไฟ ได้แก่:
1. การเลือกทิศทางบ้านที่ผิด
หันบ้านไปทางทิศตะวันตก:
ทิศนี้รับแสงแดดโดยตรงในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นช่วงที่แดดแรงที่สุด ทำให้ผนังสะสมความร้อนและปล่อยความร้อนเข้าสู่บ้านในช่วงเย็น
แก้ไข: หันบ้านไปทางทิศเหนือ-ใต้แทน หรือปลูกต้นไม้ใหญ่และติดกันสาดบังแดดในทิศตะวันตก
2. การใช้วัสดุที่สะสมความร้อน
หลังคาโลหะบางไม่มีฉนวนกันความร้อน:
หลังคาโลหะสะสมและส่งผ่านความร้อนเข้าสู่บ้านอย่างรวดเร็ว
แก้ไข: ใช้หลังคาแบบมีฉนวน หรือเพิ่มฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา เช่น ฉนวนใยแก้ว หรือแผ่นสะท้อนความร้อน
ผนังปูนเปลือยหรือคอนกรีตหนา:
ผนังประเภทนี้สะสมความร้อนในเวลากลางวันและปล่อยออกในตอนกลางคืน ทำให้บ้านร้อนตลอดเวลา
แก้ไข: ใช้ผนังอิฐมวลเบา หรือผนังที่มีฉนวนภายใน
3. ไม่มีการระบายอากาศที่ดี
ไม่มีช่องลมระบายอากาศใต้หลังคา:
ความร้อนจะสะสมอยู่ใต้หลังคาและถ่ายเทลงมาในบ้าน
แก้ไข: ติดตั้งช่องระบายอากาศ เช่น Roof Ventilator หรือช่องลมใต้หลังคา
หน้าต่างที่ปิดทึบทั้งหมด:
การปิดหน้าต่างทั้งหมดไม่ให้ลมไหลเวียน ทำให้บ้านอบอ้าวและต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศมากขึ้น
แก้ไข: ออกแบบหน้าต่างให้เปิดรับลมในตำแหน่งที่เหมาะสม
4. เลือกสีบ้านและวัสดุที่ไม่เหมาะสม
ใช้สีทาภายนอกเข้ม:
สีเข้มดูดซับความร้อนมากกว่าสีอ่อน ทำให้ผนังสะสมความร้อนและทำให้บ้านร้อน
แก้ไข: ใช้สีอ่อนหรือสีสะท้อนความร้อน
หลังคาสีเข้ม:
สีเข้มบนหลังคาทำให้บ้านร้อนขึ้นโดยไม่จำเป็น
แก้ไข: ใช้หลังคาสีอ่อน หรือวัสดุที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน
5. การติดตั้งกระจกในพื้นที่รับแดดโดยตรง
กระจกใสในทิศตะวันตก:
กระจกใสรับความร้อนและปล่อยให้แสงแดดเข้าสู่บ้านโดยตรง ทำให้บ้านร้อนและสิ้นเปลืองพลังงานจากเครื่องปรับอากาศ
แก้ไข: ใช้กระจก Low-E, กระจกสองชั้น หรือกระจกสะท้อนแสง และติดฟิล์มกรองแสงในพื้นที่รับแดด
6. การปลูกต้นไม้ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม
ไม่มีต้นไม้ใหญ่บังแดดในทิศตะวันตก:
ทำให้แสงแดดส่องโดยตรงเข้าบ้านในช่วงบ่าย
แก้ไข: ปลูกต้นไม้ที่โตเร็วและให้ร่มเงา เช่น ต้นจามจุรี ต้นประดู่ หรือต้นพิกุล
ปลูกต้นไม้ใกล้บ้านเกินไป:
รากอาจทำลายโครงสร้างบ้าน และใบไม้ที่ร่วงอาจอุดตันท่อระบายน้ำ
แก้ไข: ปลูกต้นไม้ใหญ่ในระยะห่างที่ปลอดภัย (อย่างน้อย 2-3 เมตรจากตัวบ้าน)
7. ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
เครื่องปรับอากาศเก่าหรือไม่มีระบบ Inverter:
กินไฟมากและต้องทำงานหนักในบ้านที่ร้อน
แก้ไข: เปลี่ยนมาใช้เครื่องปรับอากาศเบอร์ 5 หรือ Inverter
การใช้หลอดไฟแบบเก่า (Incandescent):
หลอดไฟแบบเก่าปล่อยความร้อนและสิ้นเปลืองพลังงาน
แก้ไข: ใช้หลอด LED แทน
8. พื้นที่รอบบ้านที่ไม่มีการออกแบบ
พื้นคอนกรีตรอบบ้านมากเกินไป:
คอนกรีตรอบบ้านสะสมความร้อนและปล่อยความร้อนเข้าบ้าน
แก้ไข: ใช้พื้นหญ้าหรือพื้นกรวดแทนเพื่อลดการสะสมความร้อน
9. ไม่มีฉนวนกันความร้อน
บ้านที่ไม่มีฉนวนกันความร้อนเลย:
ทำให้ความร้อนจากภายนอกเข้าสู่บ้านโดยตรง
แก้ไข: ติดตั้งฉนวนในผนัง หลังคา และพื้น เช่น ฉนวนใยแก้ว โฟม PU หรือแผ่นสะท้อนความร้อน
การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้พร้อมปรับใช้แนวทางที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาบ้านร้อน ลดการใช้พลังงานจากเครื่องใช้ไฟฟ้า และช่วยประหยัดค่าไฟในระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ 🌿
Comentarios